Skip to playerSkip to main contentSkip to footer
  • 13 years ago
ศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ รศ.วิทยากร เชียงกูล จากคณะวิทยากรนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ร่วมมองอดีตและอนาคตการเมืองไทย ผ่านเหตุการณ์ 14 ตุลา 6 ตุลา พฤษภา 35 เมษา- พฤษภา 53 ไปจนถึงอนาคตการเมืองไทยในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า

ศ.ดร.เกษียร วิเคราะห์ว่า ไม่ควรแยกเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ออกจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 โดยควรเรียกว่าเหตุการณ์ 14 + 6 ตุลา เป็นผลสะเทือนจากการยึดอำนาจของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อ 20 ตุลาคม 2501 ทำให้เกิดแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 ทำให้เศรษฐกิจเติบโตแบบก้าวกระโดด "ทุน" กลายมาเป็นโจทก์ใหม่ เป็น เผด็จการทุนนิยม ต่อมาในยุคปี ก่อนเกิดรัฐประหาร2549 เกิดการเถลิงอำนาจของกลุ่มทุน ภายหลังวิกฤติต้มยำกุ้ง เป็นการจัดสรรอำนาจใหม่ ในฐานะนักรัฐศาสตร์ ศ.ดร.เกษียร เสียดายโอกาสที่ รัฐบาลใช้อำนาจแบบ อำนาจนิยม ปิดกั้นพลังฝ่ายค้าน และกลุ่มพลังมวลชน ขณะเดียวกันสถาบันหลัก เช่น สถาบันตุลาการ กองทัพ ก็ถูกนำมามาใช้จนหมดหน้าตัก

ศ.ดร.เกษียร ชี้ว่า มรดกของเหตุการณ์ 14 ตุลา 6 ตุลา คือ ประชาธิปไตยต้องใหญ่กว่าทุนนิยม เปิดพื้นที่ให้กลุ่มพลังอื่นเข้ามถ่วงดุลย์กับทุนนิยม พร้อมกับเตือนรัฐบาลปัจจุบันอย่าเดินตามรอยการพัฒนาแบบก้าวกระโดด เป็นทุนนิยมขยายใหม่รอบ 3 ประชาคมอาเซียน ซ้ำรอยสมัยรัฐบาลสฤษดิ์ ยุค 2501 สมัยรัฐบาลพลเอกเปรม ที่ชูโครงการ Eastern Seaboard

รศ.วิทยากร เชียงกูล ประเมินว่า กลุ่มตัวละครในเวทีการเมืองมีหลากหลาย กลุ่มกรรมกร ชาวนา หลายกลุ่มมีการรวมตัวจัดตั้งที่เป็นระบบมากขึ้น แม้ว่าพลังนักศึกษาจะอ่อนแอ สิ่งที่ต้องดำเนินการต่อคือการปฏิรูประบบ และสถาบันต่าง ๆเช่น ปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปศาล ปฏิรูปทหาร ปฏิรูปการศึกษา ปฏิรูประบบราชการ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาในระยะยาวทั้งยังชี้ให้เห็นว่า สังคมยังมีทางเลือกที่ไม่สุดโต่ง เช่น ระบบผสม สังคมนิยมประชาธิปไตย พรรคการเมืองที่มีแนวทางแบบพรรคกรีน

Category

🗞
News

Recommended