Skip to playerSkip to main contentSkip to footer
  • 10 years ago
เจนีวา -- เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ระบุว่าทางองค์การคาดการณ์ในปีนี้เอลนีโญมีการเพิ่มความรุนแรง และคาดว่าจะเลวร้ายที่สุดที่เคยบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์

ตามรายงานจากหน่วยงานของสหประชาชาติ อุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุดรอบสามเดือนของพื้นผิวมหาสมุทรในส่วนตะวันออก-กลางของมหาสมุทรแปซิฟิกเขตร้อนจะเกิน 2 องศาเซลเซียส (35.6 องศาฟาเรนไฮต์) จากระดับปกติ และสภาพทะเลจะสามารถเปรียบเทียบได้กับสภาพก่อนเอลนีโญฤดูหนาวในช่วงปี 1972 -73, 1982-83 และ 1997-98

ในช่วงระยะเวลานั้น เอลนีโญคร่าชีวิตผู้คนทั่วภาคตะวันตกของสหรัฐอเมริกา และบางส่วนของเอเชียใต้ อเมริกาใต้ และแอฟริกาตะวันออก

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า วันจันทร์ที่ผ่านมา เลขาธิการองค์การอุตุนิยมวิทยาโลกกล่าวในที่ประชุมว่า "ปรากฏการณ์ธรรมชาติเอลนีโญ และการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโดยน้ำมือของมนุษย์อาจปฏิสัมพันธ์กันเองในรูปแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน"

"แม้กระทั่งก่อนที่เอลนีโญจะก่อตัวขึ้น อุณหภูมิพื้นผิวเฉลี่ยทั่วโลกได้สูงจนสร้างสถิติใหม่ และปรากฏการณ์เอลนีโญจะยิ่งปรับระดับความร้อนให้รุนแรงยิ่งขึ้น "เลขาธิการองค์การอุตุนิยมวิทยาโลกกล่าว

คาดว่าคลื่นความร้อนที่เกิดบ่อยขึ้น และการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล จะส่งผลให้เกิดน้ำท่วม และคลื่นสึนามิมากขึ้น ในขณะที่พายุเฮอริเคนประเภทที่ 4 และ 5 พายุก็อาจจะเกิดขึ้นบ่อยตามไปด้วย

ส่วนทางทวีปอเมริกา มีการคาดการณ์ว่าปรากฎการณ์เอลนีโญ จะส่งผลให้เกิดฤดูหนาวที่รุนแรงขึ้น โดยสภาพอากาศหนาวเย็น และมีฝนตกหนักในภาคใต้ของประเทศ ด้านภูมิภาคแปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือจะมีฤดูหนาวที่อบอุ่นและแห้งแล้งมากขึ้น ก่อให้เกิดแนวโน้มที่อาจจะทำให้ปัญหาภัยแล้งที่มีอยู่แล้วในพื้นที่แย่ลงไปอีก

ตามปกติปรากฎการณ์เอลนีโญ มักจะถึงจุดรุนแรงสูงสุดในช่วงระหว่างเดือนตุลาคม และเดือนมกราคม แต่จะส่งผลกระทบจนถึงเดือนพฤษภาคมก่อนที่จะลดความรุนแรงลงถึงระดับปกติ จากการรายงานของ LiveScience ปรากฎการณ์เอลนีโญมักจะตามมาด้วย ปรากฎการณ์ลานินญา ก่อให้เกิดรูปแบบสภาพอากาศที่ทำให้เกิดผ�

Category

🗞
News

Recommended